Search

พาชีวิตผ่านวิกฤต ด้วยวิธีคิดที่ถูกต้อง
[ทิศทา...

  • Share this:

พาชีวิตผ่านวิกฤต ด้วยวิธีคิดที่ถูกต้อง
[ทิศทาง สำคัญไม่แพ้ ความเร็ว]
.
เวลาไปบรรยายเรื่องการจัดการหนี้ ผมมักจะไม่ค่อยมีเวลาได้พูดคุยถึงเรื่องการบริหารจัดการความคิด รวมไปถึงอารมณ์และความรู้สึก ในระหว่างที่คนเรากำลังแก้ไขปัญหาหนี้ ด้วยเหตุเวลาในการบรรยายที่ค่อนข้างจำกัด แค่คุยกันเฉพาะวิธีการก็แทบจะหมดเวลาแล้ว
.
ทั้งที่เรื่องการจัดการความคิด เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะคนเรากว่าจะยกเอาปัญหาหนี้ออกจากชีวิตได้ ไม่ได้ใช้ระยะเวลาสั้นๆ แค่วันสองวัน หรือเป็นเดือน แต่ต้องสู้กันเป็นปี ๆ
.
วันนี้ทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทาง พรุ่งนี้เอาอีกแล้ว มีเรื่องร้อนใจมาให้ปวดหัวกันอีกแล้ว ทำให้ต้องตั้งสติ ตั้งหลักกันใหม่อยู่ตลอด เป็นแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนกว่าจะหลุดพ้นจากหนี้ได้
.
บทความตอนนี้ ผมเลยอยากหยิบยกวิธีการจัดการกับความคิดของตัวเองในช่วงเวลานั้น มาเล่าให้ฟังกัน เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังเจอกับวิกฤตการเงินอยู่ในตอนนี้ครับ
.
1. มองโลกอย่างมี “ความหวัง” เสมอ
.
ช่วงปี 2540 จำได้ว่าชีวิตผมเหนื่อยมาก หาเงินได้เท่าไหร่ก็ไม่พอใช้หนี้ แม้จะมีเรื่องให้ท้อได้ทุกวัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยปล่อยให้ขาดหรือหายไป ก็คือ “ความหวัง” ครับ
.
ผมไม่เคยหมดหวัง และเชื่อมั่นเสมอว่า วันหนึ่งผมจะชีวิตที่ดี หลุดพ้นจากพันธนาการหนี้ทั้งหมดได้ ทุกวันที่ตื่นขึ้นมา จึงเหมือนการเริ่มต้นสู่สิ่งดีๆ สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ การคิดแบบมีความหวังช่วยให้เวลาเจอปัญหาหนัก เรามีจะพลังก๊อกสองก๊อกสาม เข็นชีวิตต่อไปได้ตลอด
.
“พรุ่งนี้มีเรื่องดีๆ รอเราอยู่” ให้บอกตัวเองไว้แบบนี้ตลอด สะกดจิตตัวเองเอาไว้
.
“ความหวัง” สำคัญต่อการมีชีวิตอยู่มากนะครับ ดังนั้น อย่าหมดหวังเด็ดขาด
.
2. พยายาม “มองหา” โอกาส อยู่เสมอ
.
เรื่องของโอกาสนั้น ผมเชื่อเสมอว่า คนที่ “มองหา” เท่านั้น ถึงจะมีโอกาส “มองเห็น”
.
หลายคนที่ไม่เห็นโอกาสในช่วงวิกฤติ เพราะหลายครั้งมัวแต่เอาความคิดไปจมกับความทุกข์ ให้เวลากับความเจ็บปวดที่ได้รับมากเกินไป และผลของมันคือ ปิดตาปิดใจตัวเอง ทำให้มองไม่เห็นโอกาสรอบตัว
.
วิธีเช็คง่ายๆ ว่าเรากำลัง​ “มองหา” โอกาสอยู่ หรือกำลังโฟกัสชีวิตให้ติดยึดกับความทุกข์ ก็ให้ลองสังเกตการใช้เวลาของตัวเราเองในแต่ละวัน ตั้งแต่ตื่นเช้าจนถึงเข้านอน ว่าเราให้เวลากับอะไรมากกว่ากัน เผลอจัดสรรเวลาให้กับความทุกข์มากไปหรือเปล่า เช่น โทรปรับทุกข์กับเพื่อนๆ นั่งจมอยู่เงียบๆ คนเดียว ระบายความทุกข์ลงเฟซบุ๊กแล้วรออ่านคอมเมนต์แสดงความเห็นใจ ฯลฯ
.
หรือเราให้น้ำหนักกับการหย่อนใจตัวเอง เพื่อชดเชยความเจ็บปวดจนเกินเหตุ เช่น นั่งดูซีรีย์ทั้งวัน ไม่ทำอะไร นอนทั้งวัน จนลืมกินข้าวปลา ไม่แบ่งเวลาไปออกกำลังกาย หรือยังเสพติดการใช้เงินเพื่อบำบัดความว่างในใจ ฯลฯ เรื่องแบบนี้ไม่สังเกตตัวเอง เราจะไม่เห็นจริงๆ นะครับ
.
หรือเราเองมีแบ่งเวลาไปศึกษาหาความรู้ ไปขอคำปรึกษาทางการเงิน ไปเรียนคอร์สอาชีพสร้างช่องทางหารายได้ใหม่ เสริมทักษะใหม่ๆ ให้ตัวเอง เริ่มทยอยประกาศหางานผ่านเฟซบุ๊ก และโซเชียลมีเดียต่างๆ ฯลฯ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ตัวเอง

“เวลา” ที่เราแบ่งและจัดสรรให้ในแต่ละเรื่องในชีวิต จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า ชีวิตเราจะจมอยู่กับวิกฤติไปอีกนานแสนนาน หรือจะค่อยๆ ก้าวข้ามผ่านปัญหา ไปสู่โอกาสใหม่ทีละน้อย
.
ทั้งหมดเราเป็นคน “เลือก” ได้เองครับ
.
3. “เริ่ม” ให้ง่าย พยายาม “ลอง” ทุกอย่างที่คิดออก
.
อันนี้เป็นหัวใจสำคัญข้อนึงเลยครับ เพราะแม้จะเห็นโอกาสแต่ไม่คว้าไว้ ไม่ทำอะไร ชีวิตก็จะเป็นแบบเดิมนั่นแหละ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก หลักการสำคัญของการเปลี่ยนแปลง คือ เมื่อมองเห็นว่าเป็น “โอกาส” ที่เป็นไปได้ ก็จงเริ่มให้ง่าย เริ่มจากเล็กๆ และเริ่มให้เร็ว
.
ในช่วงวิกฤติ ผมคิดหารายได้เสริมจากการแปลหนังสือ ผมก็คิดของผมง่ายๆ หยิบหนังสือมาหนังเล่ม มองหาอีเมล์​ บก. แล้วก็ส่งอีเมล์ไปของานจากซีเอ็ดเลย ภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่อง ฝึกกันได้ แปลไปพัฒนาไปก็ได้ ผมคิดของผมอย่างนั้น (สุดท้ายผมเป็นคนเรียบเรียงหนังสือ Rich Dad Poor Dad ทั้งซีรีย์)
.
เกิดนึกอยากลองขายของ ผมโทรหาเพื่อนที่เป็นเจ้าของสินค้า นัดมันกินข้าว แล้วขอสินค้ามันมาทำตลาดขายดู ไม่มีตังค์ก็บอกเพื่อน ขอรูปขอเอกสารมาทำข้อมูลขายผ่านเว็บไซต์ ขอส่วนลดพิเศษกับมัน บวกกำไรนิดหน่อย ขายได้เท่าไหร่ ส่วนต่างเป็นของเรา
.
อยากเริ่มงานที่ปรึกษาโรงงาน ผมโทรติดต่อคู่ค้าบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่ ขอเข้าไปทำงานที่ปรึกษา วางระบบ ISO9001 ให้ฟรี มี 3 บริษัทโอเค ให้ลองเข้าไปทำ สุดท้ายจากงานฟรี กลายเป็นดีแล้วบอกต่อ แล้วก็เริ่มเกิดลูกค้า มีรายได้หลังจากนั้น
.
อยากรู้ว่าอสังหาริมทรัพย์ลงทุนยังไง ผมเสิร์ชกูเกิ้ลหาทรัพย์ที่กำลังประกาศขาย แล้วโทรหาโบรกเกอร์ลงพื้นที่นัดดูทรัพย์ทันที จากดูแบบงงๆ ดูไม่เป็น ก็ให้เขาสอน ไปๆมาๆ ก็ลงทุนเองได้
.
หลายเรื่องไม่ต้องเริ่มด้วยเงินเยอะแยะ แต่ใช้ต้นทุนเป็นความ “กล้า” และพลัง “การตัดสินใจ” มากกว่า
.
ที่สำคัญ เมื่อเริ่มทำอะไร อย่าไปเล็งผลเลิศ ว่าจะต้องได้ผลต้องสำเร็จในทันที เพราะเวลาเราริเริ่ม “ลอง” (WRONG) ทำอะไร เรามีโอกาสผิดพลาด หรือล้มเหลวได้มากกว่าทำสำเร็จอยู่แล้ว แต่จะเป็นอะไรหละ ตอนเริ่มเราก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว ทุนก็ไม่ได้ใช้เยอะ ถ้าพลาดก็เริ่มใหม่ ลองใหม่
.
ดีกว่ามานั่งคิด “ทำอันนี้แล้วได้แค่ พันสองพัน ไม่น่าจะพอ ทำไปก็เหนื่อยเปล่า” ถ้ายังคิดอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ทำไปก่อน เริ่มไปก่อน “การเดินทางหมื่นลี้ ต้องมีก้าวแรก ทุกความสำเร็จที่อยู่ไกล เริ่มต้นจากการขยับตีนก้าวออกจากจุดเดิมๆ”
.
4. เปิด “ประตู” แห่งโอกาสไปเรื่อยๆ
.
แม้จะใช้คำว่า “ลอง” แต่เวลาทำ ต้องทำให้เต็มที่ มองมันเป็นประตูสู่โอกาสใหม่ๆ และคอยบอกตัวเองให้สังเกตโอกาสต่อๆ ไป ที่จะวิ่งเข้ามาจากสิ่งที่เราทำ
.
จำไว้ว่า “โอกาสมากับผู้คน” เมื่อเราเจอคนใหม่ๆ ได้คุยได้ร่วมงาน ได้ทำงานด้วย เดี๋ยวก็จะเห็นช่องทางใหม่ๆ ที่จะต่อยอดสิ่งที่เราทำ เกิดความร่วมมือกับคนใหม่ๆ ที่จะทำให้เรามีความก้าวหน้ามากขึ้น เติบโตขึ้น รวมไปถึงสร้างรายได้ที่มากขึ้น
.
ตอนเริ่มแปลงานพ่อรวยสอนลูก ผมไม่เคยคิดอะไรมากไปกว่า อยากเล่าเรื่องนี้ให้คนวงกว้างฟัง อยากได้เงินค่าจ้างพอช่วยให้ผมจัดการปัญหา แต่จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ นั้นก็สร้างโอกาสต่อเนื่องให้ผมได้มาทำงานตรงนี้
.
ทั้งหมดนี้ คือ หลักคิดส่วนตัวของผมนะครับ ไม่ได้เป็นกฎหรือเคล็ดลับอะไร เล่าให้ฟังเผื่อจะนำไปปรับใช้กันได้ครับ
.
เป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้นวิกฤติกันด้วยหลักคิดที่ถูกต้องครับ
.
#โค้ชหนุ่ม #TheMoneyCoachTH


Tags:

About author
ผลักดันให้คนไทยมีสุขภาพการเงินที่ดี ด้วยพื้นฐานความรู้ทางการเงินที่ถูกต้อง เพื่อชีวิตที่มีความสุข
สร้างแรงบันดาลใจและนำพาคนไทยไปสู่สุขภาพการเงินที่ดี และมีความสุข
View all posts